แน่ใจหรือว่าคุณไม่เสี่ยง... “มะเร็งลำไส้ใหญ่
มะเร็งลำไส้ใหญ่ สำคัญอย่างไร...?
- อายุมาก
- การมีสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
- เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
- เป็นโรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่เพิ่มโอกาสการมีเนื้องอกหรือมะเร็งในลำไส้ใหญ่
- การสูบบุหรี่
จะเห็นว่า...ความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถป้องกันหรือแก้ได้ ตัวอย่างเช่น อายุ หรือประวัติครอบครัวเป็นต้น ในปัจจุบันยังไม่มียาหรือวิธีการใดที่จะป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ 100%
ในเมื่อเราไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ทั้งหมดและมะเร็งระยะเริ่มต้นรักษาง่าย และโอกาสหายสูงกว่า ดังนั้น การตรวจคัดกรองเพื่อให้พบมะเร็งลำไส้ใหญ่ให้เร็วที่สุดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด “จำไว้ว่าการตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่ ยิ่งพบเร็วเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น ยิ่งถ้าพบก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็งได้ จะดีที่สุด อาจจะไม่ต้องผ่าตัดหรือให้ยาเคมีบำบัดใดๆเลย”
- เคยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือเคยตรวจพบติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่มาก่อน
- มีสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือเคยตรวจพบติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่
- เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
- เคยได้รับการฉายรังสีเพื่อรักษามะเร็งตอนเด็ก
การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่สามารถทำได้หลายวิธี อาทิเช่น การตรวจอุจจาระ การทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือการส่องกล้อง เป็นต้น แต่วิธีที่นิยมและมีหลักฐานทางวิชาการรองรับมากที่สุดในปัจจุบัน ได้แก่
- การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนล่าง
- การตรวจหาเลือดในอุจจาระ
“การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนล่าง ควรตรวจทุก 5 - 10 ปี”
เป็นวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และถือเป็นมาตรฐานสูงสุดในการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่วิธีการตรวจโดยการใส่กล้องขนาดเล็ก ผ่านทางทวารหนักเข้าไปตรวจลำไส้โดยตรง ไม่เจ็บ ใช้เวลาไม่นาน และไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
จุดเด่นของการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนล่าง
- ประสิทธิภาพสูงที่สุดเมื่อเทียบกับการตรวจคัดกรองวิธีอื่น
- ไม่ต้องตรวจบ่อย หากผลปกติ ตรวจคัดกรองซ้ำอีกครั้งในระยะ 5 - 10 ปี หลังการตรวจครั้งแรก
- หากพบติ่งเนื้อหรือเนื้องอกในลำไส้ สามารถตัดติ่งเนื้อหรือเนื้องอกหรือเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อด้วยการส่องกล้องออกได้เลย อาจไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเพิ่มเติม
- สามารถตรวจเจอติ่งเนื้อตั้งแต่ระยะที่ยังไม่กลายเป็นมะเร็ง และตัดออกเพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
ข้อจำกัด
- ต้องรับประทานยาระบายเพื่อเตรียมลำไส้ก่อนส่องกล้อง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการตรวจคัดกรอง
“การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยการตรวจหาเลือดในอุจจาระ ควรตรวจทุกปี ”
- เป็นวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่มีที่มีความไว แต่ความแม่นยำน้อยกว่าวิธีการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนล่าง
- เนื่องจากมีความไวและความแม่นยำน้อยกว่าการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนล่าง จึงมีความจำเป็นต้องตรวจทุกปี
- มี 2 วิธี คือ gFOBT และ FIT โดยเฉพาะวิธี FIT เนื่องจากมีความไวและความจำเพาะสูงกว่า gFOBT
จุดเด่นของการตรวจหาเลือดในอุจจาระ คือ ไม่ต้องทานยาระบายเตรียมลำไส้ ไม่ต้องงดน้ำหรืออาหาร สามารถเก็บอุจจาระแล้วตรวจได้เลย
- ประสิทธิภาพต่ำกว่าการส่องกล้อง ดังนั้นต้องตรวจทุกปี
- โอกาสตรวจเจอติ่งเนื้อหรือเนื้องอกระยะเริ่มต้นน้อยกว่าการส่องกล้อง
- หากผลเป็นบวกคือตรวจพบเลือดในอุจจาระ ต้องส่องกล้องทางเดินอาหารเพิ่มเติมเพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุต่อไป
ควรเลือกการตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยวิธีการแบบใด ทั้ง 2 วิธี มีทั้งจุดเด่นและข้อจำกัด
ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเดินทางอาหารเพื่อช่วยพิจารณาและเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด “สิ่งที่สำคัญ คือ ต้องตรวจคัดกรอง เพราะไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน ก็ไม่มีผิด ไม่มีถูก แต่หัวใจที่สำคัญที่สุด คือ ความสม่ำเสมอในการตรวจคัดกรองนั่นเอง ไม่มีใครรู้ว่า ในอนาคตเราจะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือไม่ เมื่อไหร่ แต่เราป้องกันได้ รักษาหายได้ ถ้าตรวจพบเร็ว และตั้งแต่ที่เราเริ่มตัดสินใจคิดที่จะตรวจคัดกรอง โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ของเราก็ลดลงแล้ว”
สนับสนุนข้อมูลโดย : นพ.พีระนาท โชติวิทยธารากร แพทย์เฉพาะทางอายุรศาสตร์โรคระบบทางเดินอาหาร
โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1745 ต่อ ศูนย์ระบบทางเดินอาหารและตับ